แสงกะพริบบางเบาหลังเปลือกตา

Murakami Haruki - Norwegian Wood


Norwegian Wood – Haruki Murakami


สู่เรื่องรักเรียบง่าย


จากการผจญภัยในก้นบึ้งดำมืดที่ล่วงเลยไปจนถึงสุดขอบโลกใน “End of the World and Hard-Boiled Wonderland” มูราคามิเลือกเขียนนวนิยายเรื่องที่ 5 ในแนวทางที่ต่างไป


เป็นการออกผจญภัยในทางส่วนตัวของผู้เขียน ตรงที่นวนิยายเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ตนเองไม่เคยเขียนมาก่อน


เป็นการทดสอบตัวเองด้วยการเขียนเรื่องราวที่มีความตรงไปตรงมาและเรียบง่าย ปราศจากเนื้อหาในเชิงมหัศจรรย์เหนือจริงแบบที่ผู้อ่านของมูราคามิได้คุ้นเคยจากผลงานชิ้นก่อนหน้า


ตัวนวนิยายเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องสั้น “โฮตะรุ” หรือหิ่งห้อย เขียนขึ้นในช่วงที่ผู้เขียนถือเป็น “ช่วงปล่อยให้สมองว่างเปล่าก่อนจะเริ่มนิยายอีกเรื่อง” จากนั้น ความยาวของงานเขียนเพิ่มขึ้นจากที่กะประมาณไว้ก่อนหน้าราวสามเท่า กลายเป็นนวนิยายที่ต้องแบ่งพิมพ์เป็นสองเล่ม


มูราคามิกล่าวถึงความประทับใจนี้ว่า “ผมคิดว่า นิยายเรื่องนี้ต้องการให้ผมเขียนออกมาจนจบ


นอร์วีเจียน วูด” เล่าถึงชีวิตของผู้คนช่วงวัยเข้ามหาวิทยาลัยในยุคสมัยทศวรรษ 1960 ตอนปลายของญี่ปุ่น เน้นเรื่องราวไปที่การขบคิดเรื่องคุณค่าความหมาย โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์และชีวิตในหลายแง่มุมอย่างลึกซึ้งและละเมียดละไมกว่าที่เคยผ่านตา


ด้วยการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายและสมจริงโดยปราศจากองค์ประกอบที่เป็นแฟนตาซีเหนือจริง จนกล่าวกันว่าทำให้แฟนนักอ่านดั้งเดิมของมูราคามิมองว่าผลงานชิ้นนี้เป็นการถดถอยจากสิ่งที่เคยทำมา เป็นการถอยห่างจากแนวเรื่องที่เป็นมูราคามิแบบเดิม และกลายเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเองเคยปฏิเสธคือการกลายเป็นวรรณกรรมชีวประวัติแบบขนบอย่างสมัยนิยม


เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้สำหรับนวนิยายที่สมจริงที่สุดเล่มแรกที่ผู้เขียนเคยเขียน แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ยังเป็นลายเซ็นและยังปรากฏอยู่ใน “นอร์วีเจียน วูด” คือความประหลาดและผิดเพี้ยนขององค์ประกอบอย่างตัวละคร ฉาก และบทสนทนาในเรื่อง


เป็นเอกลักษณ์ของผู้เขียนที่ยังคงเด่นชัดแม้จะอยู่ในโทนเรื่องที่เปลี่ยนไป


เรื่องราวในนวนิยายเล่าด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่งผ่านมุมมองของวาตานาเบะ โทรุ อายุ 19 ปี ผู้เดินทางเข้ามาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่โตเกียว ที่ความผูกพันแต่หนหลังกับเพื่อนสนิทและแฟนสาวของเพื่อนสนิทผู้มีชื่อว่า นาโอโกะ จะส่งผลต่อชะตาชีวิตและวิธีคิดของเขา ท่ามกลางยุคสมัยของการขบถตั้งคำถามต่อต้านค่านิยมกระแสหลักและการยึดตึกปิดมหาวิทยาลัย เราติดตามวาตานาเบะผ่านการพูดคุยและการพบเจอระหว่างเขากับนาโอโกะที่ค่อยพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงจุดหักเห และโชคชะตาที่พาเขาไปพบกับมิโดริ นักศึกษาสาวอีกคนที่มีท่วงทำนองชีวิตและวิธีคิดที่เฉพาะตัว จนพัฒนาความสัมพันธ์ต่อเนื่องไปบนสถานการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน กลายเป็นความสัมพันธ์สามเส้าซ้อนสามเส้าที่ผูกเกี่ยวกับเรื่องของความบกพร่องเว้าแหว่งในตัวตน สายสัมพันธ์ ความทรงจำ และความตาย


ความคิดคำนึงและความอ่อนโยน


นวนิยายเรื่องนี้วางอยู่ในห้วงบรรยากาศของความคิดถึงโหยหา ไม่ใช่ความโหยหาที่ฟูมฟาย แต่เป็นความคิดถึงอย่างเก็บอยู่ภายในถึงเรื่องราวที่ผันผ่านและช่วงชีวิตที่ล่วงเลย เรื่องราวจากถ้อยคำบรรยายดำเนินไปในบรรยากาศหม่นเศร้าแบบค่อนข้างวางเฉย เรียกว่าคอยให้ฝ่ายอื่นกระทำอย่างนิ่งเฉย เหมือนได้เห็นภาพชีวิตดำเนินตามปกติทั่วไปในทุกเมื่อเชื่อวันแต่รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป


เช่นเดียวกันกับบรรยากาศ ตัวละครที่ปรากฏอยู่ใน “นอร์วีเจียน วูด” ล้วนแต่มีความผิดเพี้ยนหรือเว้าแหว่งบกพร่องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่างคนต่างมีปัญหาเฉพาะตัวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ ค่านิยม และคุณค่าในการดำเนินชีวิต ซึ่งเมื่อสืบสาวถึงที่สุดแล้วก็จะนำเราไปสู่ความทรงจำในอดีตและความเป็นมาแต่หนหลังของตัวละครเหล่านั้น


เพราะเหตุนี้ บทบรรยายตอนสำคัญของนิยายเรื่องนี้จึงมักเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต นำองค์ประกอบต่างๆ มาจัดเรียงให้มองดูกันอย่างถ้วนทั่ว เปิดเผยต่อกันอย่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจ้องมองพิจารณาเรื่องเหล่านั้นเพื่อค้นหาบางสิ่ง ไม่ต่างอะไรกับการเดินเคียงกันไปในป่าสนแห่งนอร์เวย์


หลายครั้งที่บทสนทนาครุ่นคิดหรือหวนรำลึกในเรื่องเกิดขึ้นตอนที่ตัวละครเดินเคียงข้างกัน การทบทวนเรื่องราวจะเกิดขึ้นไปพร้อมกับการดุ่มเดินอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง แสดงให้เห็นว่าการหวนคิดระลึกถึงความหลังนั้นมีแง่มุมที่เสี่ยงภัยอันตราย คล้ายกับตอนที่นาโอโกะเล่าให้ตัวเอกฟังถึงบ่อน้ำที่ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งหญ้า ที่แง่หนึ่งอาจเป็นการบรรยายถึงสถานที่จริงหรือเป็นเพียงภาพประทับในจิตใจที่ส่งความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่การเดินดุ่มไปตามลำพังนั้นก็ไม่แคล้วจะต้องพะวงกับบ่อลึกไม่ทันได้ครุ่นคิดหาความหมายลึกล้ำอันใด เพราะอย่างนั้น การเดินเคียงกันจึงเป็นหนทางที่ช่วนให้อุ่นใจเมื่อกำลังหวนรำลึกหรือครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านเลยหรือในจิตใต้สำนึกของตัวตน


Naoko took her left hand out of her pocket and grasped my hand. “You, you’ll be all right. You’ve got nothing to worry about. You could walk through here blindfold in the dead of night and never fall in. And so long as I stick with you, I’ll absolutely never fall in either.”

“Never?”

“Never.”

“And what makes you so sure?”

“I just know, that’s all,” said Naoko, holding tight to my hand, then falling silent as we walked on a while. “I know about these things. There’s no logic to it, I just feel it. For instance, sticking right here beside you like this, I’m not the least bit scared. Not one dark or bad thing’s going to get to me.”


การมีผู้คอยอยู่เคียงข้างกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคนๆ หนึ่งต้องขุดลึกลงไปในภาวะปัจเจกของแต่ละคน “นอร์วีเจียน วูด” ก็ได้เน้นย้ำว่า การไล่เรียงที่มาของความเป็นตัวตนนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งปกติธรรมดา ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับความแปลกประหลาด ความบกพร่อง ความผิดเพี้ยน อย่างที่เลี่ยงหลบไม่ได้ การมีผู้ร่วมก้าวเดินไปด้วยกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโลกของนวนิยายเรื่องนี้ยิ่งกว่าเรื่องใดที่มูราคามิเคยเขียนเล่า


But we are screwed up. I know it,” said Naoko.

We walked on a while in silence, The road veered away from the pasture fence, leading off to a small round clearing encircled by woods like a pond.

“Sometimes I wake up in the middle of the night frightened out of my wits,” confessed Naoko, snuggling into the crook of my arm. “Frightened that I’ll stay twisted like this and never return to normal, that I’ll just get old and rot away up here. When I get to thinking like that, my whole body freezes to the core. It’s too horrible. Bitter and cold.”

I threw my arm around her shoulders and drew her close to me.

“It’s as if Kizuki was reaching for me from the darkness, calling out to me, ‘You’re not going anywhere, Naoko, we’re inseparable.’ When I hear that, I really don’t know what to do.”

“So what do you do at times like that?”

“Now, Toru, don’t think it strange —”

“I promised,” I said.

“I have Reiko hold me.” said Naoko. “I wake Reiko up, climb into bed with her, and have her hold me tight. And I cry. She rubs me all over until I’m thawed out. Strange?”

“No, it’s not strange at all. Only I’d like to hold you instead of Reiko.”

“Hold me then, now,” said Naoko.


การยุ่งเกี่ยวกับใครอีกคนจึงไม่ใช่การกระทำที่ปราศจากเรื่องวุ่นวาย ความว่างเปล่าอันน่าพรั่นพรึงที่รู้สึกได้อยู่แล้วด้วยตัวเองหากจะถมเติมให้ไม่เว้าแหว่งอีกต่อไปก็ต้องเกี่ยวพันตัวตนเข้ากับใครอีกคน เมื่อต่างคนต่างรับรู้ว่าแต่ละคนต่างมีข้อบกพร่องที่ไม่แน่ว่าจะเชื่อมประสานกันได้ การเกี่ยวข้องผูกพันจึงวางอยู่บนการเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและความเสี่ยงอยู่บ้างไม่น้อยไปกว่าการดุ่มเดินกลางท้องทุ่งโดยไม่รู้ว่าบ่อน้ำอยู่ที่ใด เช่นเดียวกับที่มิโดริบอกเล่าด้วยเสียงเว้าวอน


But I’m lonely. Terribly lonely. Don’t you think it makes me feel bad to have to ask you? I’m so demanding and I give you nothing. I’m such a motor-mouth, always ringing you up and dragging you around. But you’re the only one I can ask. In my twenty years up to now, I’ve never had my way. Father and Mother would never listen to me, and my boyfriend just wasn’t the type. He’s get mad if I wanted my own way and it’d be another fight. That’s why you’re the only person I can talk like this. Meanwhile, I’m so frazzled, I only want to sleep with someone who’ll tell me I’m pretty and lovable. That’s all I ask. To wake up all bright and fresh. I’d never be so pushy again, never. I’ll be a good girl.”


นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เจาะจงบอกว่าสิ่งที่ได้มาจากการบากบั่นฝ่าฟันทั้งหลายจะเป็นคำตอบที่ปลอบประโลม


สิ่งที่ตัวนิยายได้แสดงออกคือการเล่าถึงโลกที่เอื้อเฟื้อต่อการแสวงหาหรือครุ่นคิดหรือผูกเกี่ยวสัมพันธ์นั้นยังเกิดขึ้นได้


สิ่งนี้กลายเป็นเสน่ห์ที่ตราตรึงของ “นอร์วีเจียน วูด” ซึ่งโดดเด่นอย่างมากเมื่อเทียบเคียงกับผลงานชิ้นอื่นของมูราคามิ และความอ่อนโยนในโลกของเรื่องเล่านี้เองที่เป็นส่วนสำคัญดึงดูดให้ผู้อ่านกลับมายังสถานที่ในจินตนาการซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ในป่านอร์เวย์


โลกของเรื่องเล่าที่มีความอ่อนโยนนั้นยังได้ยึดโยงกับฐานที่มั่นคงจนสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและมีความสมจริงรอบด้าน แสดงให้เห็นอิทธิพลของการวางเรื่องราวอย่างยึดโยงครอบคลุมที่ปรากฏในงานอย่าง “End of the World and Hard-Boiled Wonderland


หากนับว่าเป็นการท้าทายตนเองก็ต้องถือว่ามูราคามิสามารถตีโจทย์ที่ตั้งไว้เองได้เป็นอย่างดี เขียนบรรยายตัวละครและความเป็นไปต่างๆ ในเรื่องได้อย่างเปี่ยมสีสันเสมือนสัมผัสได้จริง


และใช่แต่เฉพาะตัวละคร ฉากหลังอย่างฉากในมหาวิทยาลัยหรือหอพักนักศึกษาหรือบ้านพักบนภูเขานั้นก็ล้วนเป็นตัวละครที่โดดเด่นในตัวเองอย่างไม่อาจมองข้ามไปได้ การเดินดุ่มไปมาของตัวละครในเรื่องจึงดูมีความหมายและให้บรรยากาศหวนคิดถึงความหลังได้อย่างชวนคล้อยตาม จนทำให้ผู้อ่านบางคนเข้าใจไปว่านี่เป็นนวนิยายชีวประวัติ เป็นสัญญาณบอกว่าฉากที่ตั้งหรือเวทีของเรื่องราวได้ทำหน้าที่ของพวกมันอย่างครบถ้วน


นอร์วีเจียน วูด” จึงเป็นนวนิยายที่แสดงให้เห็นถึงโลกของเรื่องเล่าที่เป็นไปได้ คำถามที่นำไปสู่คำถามต่อไป ความรู้สึกที่เคยมีร่วมกันและผ่านเลยไปแล้ว บรรยากาศอบอวลไปด้วยความคิดคำนึงสามารถดึงดูดให้อ่านซ้ำได้อย่างไม่น่ากังขา เรื่องราวที่มีประเด็นชวนให้ขบคิดต่อและได้รับการบอกเล่าอย่างเปี่ยมจินตนาการ สมกับที่ผู้เขียนกล่าวว่า “นิยายเล่มนี้น่าจะมีคุณภาพมากกว่าคุณสมบัติส่วนตัวของผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง