วงกตของความเศร้าหมอง

ernest hemingway - the sun also rises


The Sun Also Rises : The Library of America Corrected Text [Deckle Edge Paper] – Ernest Hemingway


ความรื่นเริงและเบื้องหลัง


ภาพที่ได้เห็นจนติดตาของนวนิยายเรื่อง “The Sun Also Rises” คือภาพการกินเลี้ยงต่อเนื่องราวกับไม่มีที่สิ้นสุดในบาร์แห่งต่างๆ ชานเมืองกรุงปารีส


การดื่มสุราจนเมามายหัวราน้ำจากร้านหนึ่งต่อไปอีกร้านหนึ่ง การเกี้ยวพาราสีอย่างไม่นำพาระหว่างบุคคล ดูไปแล้วก็คล้ายกับเป็นความรื่นเริงที่ไหลหลั่งท่วมท้นไร้จุดสิ้นสุด


แต่เมื่อหยุดคิดและไตร่ตรองมองดูอีกทีหนึ่งแล้ว ภายใต้ความรื่นรมย์มัวเมานั้นกลับมีบางสิ่งดูผิดธรรมชาติ


ทำให้ฉากหน้าที่อาจดูเหมือนเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่มีอยู่และเป็นอยู่ เรียกว่าสุขนิยมในชั่วปัจจุบันขณะอย่างฟุ้งเฟ้อ แท้ที่จริงแล้ว กลับดูเหมือนเป็นเล่ห์กลปิดบังความสิ้นหวังบางประการเอาไว้


นวนิยายที่ตีพิมพ์ในปี 1926 เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Jake Barnes นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันที่ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส


ผู้อ่านจะได้เห็นตัวเอกมีความสัมพันธ์กับชาวอเมริกันและชาวอังกฤษที่ใช้ชีวิตในต่างแดนคนอื่นๆ อย่าง


Robert Cohn อดีตนักมวยระดับแชมป์ที่มีจิตใจซื่อตรงและมีความโรแมนติคผิดกับคนอื่นๆ ในคณะ จนบางครั้งเป็นเหมือนตัวละครที่ทำหน้าที่ปลดปล่อยอารมณ์ที่ตึงเครียดในบทตอน


Lady Brett Ashley สตรีผู้รักอิสระและถืออิสรภาพเป็นหลักในเรื่องของความสัมพันธ์ และมีความสัมพันธ์เบื้องหลังกับตัวเอก


Mike Campbell คู่หมั้นของ Brett ที่มักจะเมามายพูดอะไรอย่างขาดสติอยู่เสมอ


Bill Gorton ชายชาวอเมริกันเพื่อนคู่ดื่มของตัวเอก ชอบเล่นมุขตลกจิกกัด


ตัวละครเกือบทั้งหมดมีจุดร่วมกันในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างไม่ยึดถือคุณค่าใดๆ เป็นหลักใหญ่ในชีวิต ต่างเลือกจะสนุกสนานรื่นรมย์อยู่กับวงจรการกินดื่มและสังสรรค์อย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย จึงทำให้ผู้อ่านพอจะมองเห็นว่าท่ามกลางความสนุกสนานและเสียงสรวลเสเฮฮานั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่นำพาและความแหนงหน่ายในสิ่งที่ดูเหมือนเคยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต อย่างเรื่องความผูกพันลึกซึ้งของคนรักหรือความซื่อตรง กล้าหาญ


ฉากที่เห็นจึงกลายเป็นภาพของงานเลี้ยงรื่นเริงที่ดำเนินอยู่บนความว่างโหวงกลวงเปล่าไปเสียแทน


เมื่อเซตติ้งเบื้องต้นเป็นเช่นนี้ เฮมิงเวย์ก็ได้นำพาเหล่าตัวละครผู้วางท่าไม่อินังขังขอบทั้งหลายมาเผชิญหน้ากับโลกที่คุณค่าดั้งเดิมนั้นยังดำรงอยู่ อย่างในโลกของการสู้วัวในเมือง Pamplona ประเทศสเปน โดยผู้เขียนได้ให้ตัวละครทั้งหมดเดินทางมายังเมืองนี้เพื่องานเทศกาล Fiesta of San Fermin ที่เลื่องลือเรื่องขนบธรรมเนียมการสู้วัวที่สืบต่อกันมายายนาน


ในฉากหลังที่แตกต่างออกไปนี้เองบวกกับการบรรยายการสู้วัวอย่างมีสีสันและขรึมขลังราวพิธีกรรมของเฮมิงเวย์ สิ่งต่างๆ ที่เหล่าตัวละครพยายามปกปิดหรือทำเป็นลืมเลือนไปในครึ่งแรกจะได้ประทุออกมา นำไปสู่การขมวดปมขัดแย้งและการคลี่คลายของปมนั้น ก่อนจะเข้าสู่บทสรุปในท้ายที่สุด ไม่ต่างไปจากการสู้วัวในลานพิธี


บาดแผลจากสงคราม


We had another bottle of wine and Georgette made a joke. She smiled and showed all her bad teeth, and we touched glasses. “You’re not a bad type,” she said. “It’s a shame you’re sick. We get on well. What’s the matter with you, anyway?”

“I got hurt in the war,” I said.

“Oh, that dirty war.”


หากภายใต้ความมัวเมาอันรื่นรมย์นั้นจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ สิ่งนั้นก็จะเป็นผลต่อเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ที่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้ทิ้งร่อยรอยแผลร้ายแรงสาหัสไว้ในชีวิตของเหล่าตัวละครที่ปรากฏอยู่ใน “The Sun Also Rises” อย่างถ้วนหน้า


เฮมิงเวย์เลือกใช้สถานการณ์การดื่มกินอย่างไร้เป้าหมายไร้ทิศทางและไร้จุดจบเพื่อแสดงออกโดยนัยถึงความไร้จุดหมายในชีวิตภายหลังสงครามสิ้นสุด ความไร้จุดหมายเกิดขึ้นเพราะคุณค่าที่เคยเชื่อกันว่ายึดถือเอาไว้ได้เสมอไปนั้นกลับพากันล่มสลายลงเบื้องหน้าความโหดร้ายทารุณของสงคราม


กลวิธีการบอกเล่าแบบภูเขาน้ำแข็งที่เลือกเล่าเพียงฉากที่ปรากฏอยู่เหนือพื้นผิวน้ำ โดยละเรื่องราวเบื้องหลังมากมายที่อยู่ใต้ท้องน้ำเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องของอดีตและการแสดงออกทางอารมณ์ เนื่องจากเชื่อว่าหากผู้เขียนรู้จริงอยู่เองในเรื่องที่เขียนแล้ว ผู้อ่านจะรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่เป็นฐานด้านล่างของภูเขาน้ำแข็งนั้นได้เอง


สิ่งนี้ทำให้ “The Sun Also Rises” คุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางอารมณ์ ซ่อนนัยจำนวนมากไว้ภายใต้บทสนทนาที่วางอยู่บนอารมณ์เฉยชาและเหนื่อยหน่ายในคุณค่าที่มีอยู่ทั่วไป หรือไม่ก็เป็นบทสนทนาที่เปี่ยมอารมณ์ขันเย้ยจิกกัดอย่างไร้จุดประสงค์ ซึ่งล้วนแต่มีอยู่ทั่วไปในนวนิยายเรื่องนี้ กล่าวได้ว่า เฮมิงเวย์ได้แสดงให้เห็นสภาวะของการสูญเสียคุณค่าและความหมายเมื่อคนต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายไร้ความปราณี มากกว่าที่จะแสวงหาทางออกหรือบอกหนทางแก้ไขสถานการณ์แบบที่ว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่ตัวเอกสูญเสียนั้นไม่ใช่แค่เรื่องทางจิตใจหรือเรื่องของอารมณ์ แต่ยังรวมถึงอาการบาดเจ็บจากการสูญเสียอวัยวะอันเป็นความจริงที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องยอมรับยอมจำนนอย่างไม่มีทางเลือก


I lay awake thinking and my mind jumping around. Then I couldn’t keep away from it, and I started to think about Brett and my mind stopped jumping around and started to go in sort of smooth waves. Then all of a sudden I started to cry. Then after a while it was better and I lay in bed and listened to the heavy trams go by and way down the street, and then I went to sleep.


วงกตกับทางออก


ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตัว Jake กับ Brett ยิ่งขมวดปมตึงเครียดขึ้นไปอีกเมื่อมีเรื่องบาดแผลทุพพลภาพจากสงคราม ที่กลายเป็นปัจจัยข้อสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองเป็นไปไม่ได้ดั่งใจคิดปรารถนา


การขาดไร้สมรรถภาพจึงนำไปสู่ความตึงเครียดและเศร้าโศกอย่างไม่อาจหลีกหนีได้ แต่ความเป็นชายที่ถดถอยนั้นใช่ว่าจะหมดสิ้นท่าอย่างย่อยยับ เมื่อเฮมิงเวย์ผูกโยงเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้เข้ากับประเพณีการสู้วัวที่เปี่ยมไปด้วยสัญญะของความเป็นชาย การยืนยันความเป็นชายจึงยังสามารถที่จะแสดงออกผ่านการแสดงความเคารพและชื่นชมในประเพณีหรือขนบธรรมเนียมดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาในต่างเมือง คุณค่าที่ดูเหมือนสูญเสียหรือพังทลายลงไปแล้วจึงยังสามารถถูกค้นพบได้ใหม่ตราบเท่าที่ยังมีมีจิตใจมุ่งค้นหา หากพูดตามโลกทัศน์ของนวนิยายเรื่องนี้ที่เฮมิงเวย์เขียนไว้


เพียงแต่ว่า เมื่อมองในอีกแง่หนึ่ง การเข้าถึงคุณค่าที่เคยเชื่อว่าสูญเสียไปแล้วนั้นกลับต้องกระทำผ่านผู้อื่น ตัวเอกเป็นเพียงผู้นำพาไปส่งและมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นต่อไป แม้จิตใจของสองตัวละครอาจจะยังเชื่อมโยงกันด้วยคุณค่าที่ดูเหมือนจะผุพังเสื่อมโทรมลงแล้วก็ตาม สถานการณ์จึงเป็นไปในทำนองของความหวานอมขมกลืนไปจนถึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


That seemed to handle it. That was it. Send a girl off with one man. Introduce her to another to go off with him. Now go and bring her back. And sign the wire with love. That was it all right. I went in to lunch.


ภาพเหตุการณ์ที่เฮมิงเวย์ถ่ายทอดผ่าน “The Sun Also Rises” จึงเป็นภาพของการเผชิญหน้ากับความจริงของการสูญเสียที่สามารถมองได้ทั้งสองแบบ คือ เป็นภาพของการเผชิญหน้ากับความสูญเสียโดยยอมรับความพ่ายแพ้ที่เป็นจริงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ เป็นภาพของการยืนยันในคุณค่าที่ดูเหมือนจะสูญสลายไปแล้วท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนสิ้นหวังรอบด้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น


ถึงอย่างนั้น ภาพทั้งสองก็เป็นภาพที่ชวนให้เคร่งเครียดและหดหู่ สมกับที่เฮมิงเวย์เขียนเล่าให้เอฟ. สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ฟังถึงว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่


“such a hell of a sad story and the only instruction is how people go to hell”


ที่ไม่มีทางออกโดยสมบูรณ์และเหล่าตัวละครต่างต้องตกอยู่ภายในการจองจำของวงกตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ตลอดไป หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้การอดทนอดกลั้นฟันฝ่าสิ่งที่เป็นเหมือนวงกตในนรกไปให้ได้เหมือนจะเป็นหนทางหนึ่งที่สถานการณ์อาจจะพอคลี่คลายเคลื่อนผ่านไปได้ในที่สุด


ไม่ว่าอย่างไร คุณสมบัติในด้านความเศร้าโศกตึงเครียดของตัวนิยายเองก็ได้ทำให้ “The Sun Also Rises” กลายเป็นผลงานที่ต้องกล่าวถึงเมื่อประเด็นสนทนาดำเนินไปที่เรื่องวรรณกรรมยุคสมัยใหม่ (Modernist literature) และกลุ่มนักเขียนยุคหลังสงครามที่ถูกเรียกว่า “The lost generation” รวมถึงยังเป็นผลงานที่ทำให้ชื่อของเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เป็นที่กล่าวขวัญถึงมาจนปัจจุบัน