End of the World and Hard-Boiled Wonderland – Haruki Murakami
สู่โลกใต้ดินอย่างแท้จริง
จากทิวทัศน์ของท้องทุ่งหิมะสีขาวโพลนในฮอกไกโด ข้ามมาสู่โลกของถ้ำและอุโมงค์น้ำใต้ดิน
มูราคามิเลือกสรรฉากเวทีใหม่สำหรับเรื่องราวการผจญภัยครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในโลกล้ำยุคที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมชิงอำนาจขององค์กรที่ต่างชักใยบงการความเป็นไปของโลกจากเบื้องหลัง
ตัวเอกเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่เคลื่อนไหวขัดแข้งสวนทางกับระบบ
วางตัวเป็นนักสืบหน้าตายหน่ายโลกตามสไตล์ Hard-Boiled Detective Novels
มองผิวเผินเหมือนไม่ยึดถือคุณค่าใดๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของระบบจัดสรร
แต่เมื่ออ่านไปก็พบจุดที่ชวนให้ต้องมองใหม่ได้ไม่ยาก
สมทบด้วยขบวนตัวละครหลายกลุ่ม ทั้งนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่หัวเรื่องวิจัยจะมีผลต่อความเป็นไปของโลก เผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ประหลาดยามิคุโระที่อาศัยอยู่ในก้นบึ้งอันมืดมิด คู่หูสวมสูทที่มาพร้อมกับข่าวร้ายและการทำลายล้างไร้เหตุผล
ก่อนที่เรื่องราวจะนำไปสู่บทตอนที่เหนือความคาดหมายและบทสรุปอย่างน่าประทับใจ
การเชื่อมต่อและกล่องดำ
มูราคามิได้เล่าไว้ในการพูดคุยกับจอห์น เวสลีย์ ฮาร์ดิงเมื่อปี 1994 ว่า ขณะกำลังเขียน “End of the World and Hard-Boiled Wonderland” นั้น เขานึกถึงเรื่องราวของออร์เฟียส (Orpheus) ที่ต้องไปตามหายูรีไดซ์ (Eurydice) ผู้เป็นที่รักในดินแดนหลังความตายหรือ Underworld
โดยมูราคามิยังได้อ่านเชื่อมโยงไปกับเรื่องราวของเทพเจ้าอิซานางิ (Izanagi) และอิซานามิ (Izanami) ในเทพปกรณัมชินโตของญี่ปุ่น
ที่ตำนานทั้งสองเรื่องต่างเล่าถึงการพลัดพรากและการดิ้นรนค้นหาของคู่รักในสถานที่ที่เป็นขอบเขตของการดำรงอยู่จนได้พบกันอีกครั้ง เพียงเพื่อจะได้พบว่ามีสิ่งสำคัญที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
จึงพอกล่าวได้ว่า นวนิยายที่ตีพิมพ์ในปี 1985 เรื่องนี้ดำเนินไปบนเขตแดนที่แบ่งเป็นสองฟากฝั่ง
เป็นฟากฝั่งที่ตั้งอยู่กันคนละบริบทแห่งหน
และการบรรจบของฟากฝั่งที่ห่างไกลกันนั้นเป็นเป้าหมายของเรื่องราวในนวนิยาย
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามต่อมานั้นในบางครั้งก็ถูกขับเน้นความสำคัญน้อยกว่าความมุ่งมาดปรารถนาที่จะไปให้ถึง
“End of the World and Hard-Boiled Wonderland” จึงเล่าขานถึงการยืนยันอย่างเข้มข้น โดยผู้อ่านจะได้เห็นท่วงทีและน้ำเสียงเฉพาะตัวของมูราคามิตอนเล่าถึงการตระเตรียมและควบคุมตนเองรวมถึงปัจจัยที่ส่งผลรอบตัว เพื่อให้การยืนยันที่ว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างเต็มกำลัง
[…] All I could do was push myself to my physical limits and leap across the deep, bottomless trenches that lay between my imagination and my circumstances. It was far better to keep doing something than to do nothing at all.
สิ่งที่นวนิยายเรื่องนี้ยืนยันถึง ถ้าให้เลือกจากหลายคำตอบก็จะได้ว่า เป็นการยืนยันถึงการเชื่อมต่อ
อาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อระหว่างซ้ายกับขวา การเชื่อมต่อระหว่างเสียงกับความเงียบ การเชื่อมต่อระหว่างแสงสว่างกับความมืด ไปจนถึงการเชื่อมต่อระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
“End of the World and Hard-Boiled Wonderland” นั้นยืนยันความจริงที่ว่าการเชื่อมต่อเหล่านี้นั้นเป็นไปได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางสภาวะที่เรียกได้ว่าไม่เอื้ออำนวยไปจนถึงเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยก็ตาม
การเชื่อมต่อในบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่ผ่านการเข้ารหัส สลับซ้ายขวา กลั่นกรองระหว่างขั้วตรงข้ามอย่างซับซ้อน แต่กลายเป็นว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นไม่ใช่การถอดรหัสที่ปลายทาง
กลับเป็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อกระบวนการเข้ารหัสนั้นดำเนินไปจนแล้วเสร็จ
เมื่อในหลายครั้ง กระบวนการนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับผลลัพธ์ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้อยู่เองที่ผลลัพธ์จะถูกจำแนกแบ่งแยกเป็นประเภทชัดเจน
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการนำเข้าสู่ความเป็นระบบ
ในขณะที่กระบวนการที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นกลายเป็นอาณาเขตที่ไม่รู้จักเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้จัก
เพราะฉะนั้น นอกจากเรื่องของการเชื่อมต่อแล้ว “End of the World and Hard-Boiled Wonderland” ในฐานะนิยายเรื่องแต่งก็ได้พยายามที่จะเข้าใจกระบวนการการเข้ารหัสที่ลึกลับนี้
โดยแสดงภาพแผนภูมิจากจินตนาการที่เผยให้เห็นลักษณะเฉพาะซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วนของกระบวนการที่ไม่รู้จักเหล่านั้น
แสดงให้เห็นว่าสถานที่ที่เป็นแหล่งสะสมของเศษเสี้ยวการรับรู้และความทรงจำนับล้านชิ้นนั้นเป็นที่มาของผลลัพธ์ การตัดสินใจ รวมถึงลักษณะเฉพาะของตัวตนมากมายเหลือคณาที่ปรากฏ
[…]
It is truly a ‘factory.’ Production is what takes place there. You are the factory boss, of course, but unfortunately, you are unable to visit the place. As with Alice’s Wonderland, you need a special drug to burrow your way in. Really, Lewis Carroll did an excellent job creating that story.
นวนิยายเรื่องนี้ยืนยันที่จะเชื่อมต่อผู้อ่านเข้ากับ ‘Elephant’s factory’ หรือ “โรงงานช้าง” ด้วยจินตนาการและการขุดค้นเชิงอุปมาอุปไมยที่เป็นนามธรรมและอภิปรัชญา ภายในนามของความบันเทิงที่เรียกว่าไซไฟแฟนตาซี

การทวงคืนหัวใจที่สุดขอบโลก
“I remember what my mother used to say: if your heart is there, inside you, no matter where you go, you lose nothing. Is that true?”“I don’t know,” I said. “I can’t tell if it’s true or not. But your mother must have believed it. The problem is whether or not you believe it.”
“I think I can believe it,” she said, looking straight into my eyes.
“You can?” I asked, amazed. “You can believe that?”
“Probably,” she said.
นวนิยาย “End of the World and Hard-Boiled Wonderland” จึงเป็นเรื่องราวของการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อทวงสิ่งสำคัญที่อาจเรียกว่า “หัวใจ” กลับคืนมา
จากการหายตัวไปอย่างไม่มีคำอธิบายของหลากหลายตัวละครในผลงานชิ้นก่อนๆ อย่าง “พินบอล, 1973” หรือ “แกะรอย แกะดาว” ที่ต่างทิ้งร่องรอยความว่างเปล่าเอาไว้ให้กับตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง
ในคราวนี้ มูราคามิได้นำพาเรื่องราวในทำนองเดิมที่คุ้นเคยมาสู่อาณาบริเวณใหม่
มีการสร้างโลกที่ครอบคลุมและกว้างขวางกว่าที่ผ่านมา
มีการควบคุมและยึดเหนี่ยวโทนเรื่องเป็นหนึ่งเดียวยิ่งกว่าผลงานก่อนหน้า
แน่นอนว่ายังมีการสอดแทรกแบรนด์ยี่ห้อแสดงสัญญะของรสนิยมการบริโภคอยู่เช่นเดิม ซึ่งเป็นลักษณะของยุคสมัยที่ผ่านเลยและดูไม่มีความจำเป็นอยู่บ้าง
แต่ก็ชดเชยด้วยการบรรยายเชิงประวัติศาสตร์และไอเดียที่ชวนติดตามและคิดต่ออย่างบันเทิง
รวมไปถึงอาการโลดโผนของการผลักให้เรื่องราวและบรรดาตัวละครไปสู่อาณาเขตที่ไม่รู้จักอันเป็นเอกลักษณ์ของมูราคามิก็ส่งผลให้นวนิยายเรื่อง “End of the World and Hard-Boiled Wonderland” มีคุณค่ากับการอ่านไปด้วย
โดยเฉพาะเมื่อฉบับพิมพ์ครั้งนี้เป็นฉบับแปลใหม่อย่างครบถ้วนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นโดยไม่ตัดทอน ที่ให้อรรถรสต่างออกไปจากฉบับก่อนหน้า
