ผจญภัยตามหาแกะ

murakami haruki - a wild sheep chase

แกะรอย แกะดาว A Wild Sheep Chase – Haruki Murakami


จุดเริ่มต้นที่ผ่านมา


เมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกับ “ผม” ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาว่างของหน้าร้อนที่ “ผม” กับ “มุสิก” นั่งดวดเบียร์พร้อมถกกันสารพัดประเด็น


ทำเหมือนกับใช้เวลาที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือไปอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่แท้ที่จริงแล้วต่างก็กำลังขบคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย


ผ่านวันแต่ละวันทีละวันด้วยการสังเกตรับรู้และสื่อสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างตามอัตภาพ


เรื่องเหล่านี้ถูกเล่าไว้ในนวนิยาย “สดับลมขับขาน


ผ่านไปหลายปี ต่างคนต่างแยกกันไปตามทาง


แต่ก็เหมือนกับมีหลุมพรางอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ทั้ง “ผม” และ “มุสิก” ตกลงไปอยู่ในบ่อของความเดียวดายอ้างว้าง


ที่คุกรุ่นไปด้วยความแปลกแยกและสับสน ผสมกับความคิดถึงโหยหาในคืนวันเก่าก่อน


ทั้งหมดภายในจิตใจรวมกันผลักไสให้นำไปสู่การค้นหาที่ข้างนอกเสียบ้างโดยที่ยังไม่ลืมที่จะขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ภายในจิตใจตัวเองไปด้วย


“ผม” พาตัวเองไปพบกับตู้พินบอลที่เคยสัมผัสและมีความหลังด้วย ส่วน “มุสิก” ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากถิ่นพำนักอย่างไม่มีแผนย้อนกลับ


เรื่องราวเหล่านี้บอกเล่าไว้ในนวนิยาย “พินบอล, 1973


มาคราวนี้ เวลาผ่านไปนานอีกครั้งหนึ่ง ภาระและความสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มขึ้น


แม้ยังมีกลิ่นไอของความแปลกแยกและความอ้างว้างอยู่ คราวนี้กลับมีบางสิ่งที่ต่างออกไป


เมื่อผู้อ่านได้ทราบว่าสิ่งที่ทำการเตะผลักทั้งสองคนให้ออกไปสู่การเสาะแสวงหาครั้งนี้มีลักษณะของความจำเป็นบางประการอยู่ด้วย จุดนี้ทำให้ “แกะรอย แกะดาว” มีความโดดเด่นจากนิยายสองเรื่องก่อนหน้าอย่างมาก


แกะรอย แกะดาว” เป็นนวนิยายเรื่องที่สามของมูราคามิ ฮารูกิ และเป็นผลงานที่ผู้เขียนเองถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านในห้วงการทำงานเป็นนักเขียนของตนเอง


เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของสไตล์การเขียนของผม”

(The Paris Review Interviews, IV)


หลังจากที่ได้เคยรื้อสร้างเนื้อหาภายในจนเหลือแต่การนำเสนอโครงร่างพร้อมเนื้อหาที่สดใหม่อย่างกระทัดรัดในผลงานสองเล่มแรกมาแล้ว


นอกจากนี้ นวนิยายเรื่องนี้ยังได้รับอิทธิพลในแง่แรงผลักดันให้อยากเขียนผลงานที่มีพลังเทียบเท่าจากการที่มูราคามิได้อ่านนวนิยายเรื่อง “Coin Locker Babies” ของมูราคามิ ริว และจำเป็นต้องกล่าวถึงเงาของมิชิมะ ยูคิโอะจากผลงานอย่าง “Natsuko no Bouken” ที่ว่าด้วยการไล่ล่าหมีที่ฮอกไกโดที่ซ้อนทับกับการตามหาแกะในครั้งนี้อีกด้วย


แม้สไตล์ของนักเขียนทั้งสามจะต่างกันอย่างมาก แต่ผู้อ่านก็พอมองเห็นจุดร่วมในด้านความตื่นเต้นได้จากผลงานทั้งสาม


ชีวิตอีกครึ่งที่ซ่อนไว้


หลังจากผ่านการหย่าร้าง ตัวเอก “ผม” ก็ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวโดยวางท่าทีอย่างเฉยเมยไม่นำพา ราวกับได้ทอดถอนใจในความไม่เที่ยงและการเอาแน่เอานอนไม่ได้ของความสัมพันธ์และเส้นทางชีวิต


จากนั้น ผู้อ่านจะได้เห็นว่าโลกที่เหมือนมีสีเทาไปแทบทุกแห่งหนของ “ผม” นั้นก็ค่อยๆ ได้รับการแต่งเติมสีสันด้วยการพบเจอแปลกประหลาดต่างๆ


ตัว “ผม” นั้นเป็นผู้ยื่นมือออกไปหาบ้างก็จริง แต่ก็เป็นหลังจากมีเรื่องราวมากองอยู่ตรงหน้าประตูก่อนเสียเป็นส่วนใหญ่


เรื่องของการพบเจอที่เกิดขึ้นในเรื่องจึงมีความสมัครใจเจือปนอยู่ไม่มากก็น้อย และอาจยังเล่าต่อไปได้ว่าที่เป็นแบบนี้


นั่นเป็นเพราะคุณใช้ชีวิตเพียงแค่ครึ่งเดียว” เธอตอบโดยไม่ลังเล “ชีวิตที่เหลือ คุณซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง”


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นส่วนต่อขยายของการค้นหาสิ่งหรือส่วนของตัวตนที่หายไปของ “สดับลมขับขาน” และ “พินบอล, 1973” เพราะการผจญภัยตามหาแกะครั้งนี้นำพาตัวเอก (“ผม”) ไปสู่ภายนอกเพื่อตอบสนองต่อคำขอหรือเงื่อนไขที่มาจากตัวละครอื่น


เรียกได้ว่าต้องทำไปเพื่อคนอื่นก็ว่าได้ไม่ขัดเขินนัก


ทำให้การขยับตัวเคลื่อนไหวทำสิ่งต่างๆ ของตัวเอกมีสัญญาณของการเชื่อมโยงกับคนอื่นมากกว่าที่เคย อย่างน้อยก็เท่าที่เห็นมาในนวนิยายสองเล่มก่อนหน้า คือมีสัญญาณของความทุ่มเทในแบบผู้ที่ชินชาและออกจะเบื่อโลกอยู่หน่อยจะแสดงออกมา พร้อมกับมุขตลกหน้าตายที่พอมีให้เห็นประปรายตามขนบนิยายนักสืบแบบเรย์มอนด์ แชนด์เลอร์


จากเรื่องราวที่เป็นเศษเสี้ยวและโครงร่างที่กระจัดกระจายในนิยายสองเรื่องก่อน “แกะรอย แกะดาว” นั้นก็เลือกนำเสนอเรื่องราวที่วางอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคงแน่นหนากว่า ทำให้อ่านแล้วเห็นความเชื่อมโยงและความต่อเนื่องมากกว่า


การเล่าเรื่องที่มีพัฒนาการอย่างชัดเจนนี้จึงส่งผ่านเรื่องราวได้อย่างครบเครื่องและเปี่ยมอารมณ์กว่า ทำให้ “แกะรอย แกะดาว” สามารถสื่อสารอารมณ์ได้หลากหลายกว่า “สดับลมขับขาน” และ “พินบอล, 1973


โดยเฉพาะในด้านที่เป็นการเปิดเผยความอ่อนไหวหรือสะเทือนใจ


แน่นอนว่าบรรยากาศโดยรวมก็ยังอยู่ในอารมณ์นิ่งเฉยหน้าตายเหมือนไม่ยึดถืออะไรเป็นจริงจัง แต่เมื่ออ่านก็จะรู้สึกได้ถึงความพยายามที่จะเชื่อมต่อหรือรักษาความสัมพันธ์อยู่แม้จะเบาบาง แอบซ่อนอยู่ภายใต้ความเฉยชานั้นของตัวเอก


ผจญภัยตามหาแกะ


เรื่องราวเริ่มขยับคืบเคลื่อนเมื่อการนำรูปแกะไปใช้ในเอกสารประชาสัมพันธ์ของบริษัทประกันชีวิตโดยตัวเอก (“ผม”) ที่ไม่ได้ตั้งใจหรือมุ่งมั่นอะไรแม้แต่น้อย ไปเตะตากลุ่มองค์กรลึกลับขนาดมหึมา มหึมาทั้งขนาดองค์กรและพลังอำนาจ นำไปสู่การขอร้องกึ่งข่มขู่ให้ตามหาแกะตัวหนึ่งจากในรูปถ่ายนั้น


การสืบหาที่แปลกประหลาดนำพาไปสู่เรื่องราวของคนใกล้ชิดแต่หนหลังอย่างคาดไม่ถึง ทำให้ทั้ง “ผม” กับนางแบบหูเพื่อนสาวต้องดั้นด้นเดินทางไปสุดขอบประเทศ พบเจอกับผู้คนและสถานที่ที่แปลกประหลาดจนถึงมหัศจรรย์ไม่แพ้กันอีกหลายหลาก


บทตอนที่น่าประทับใจจะเป็นตอนที่ผู้เขียนบรรยายเรื่องราวในเชิงประวัติศาสตร์ความเป็นมา ที่หลายครั้งเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ภาพใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น อ่านสนุกและเพลิดเพลินไปกับจินตนาการนานารูปแบบ


นวนิยายยังคงสไตล์และท่วงทำนองการเขียนแบบมูราคามิ นั่นคือแม้จะเรื่องราวบีบคั้นเร่งด่วนให้ต้องทำอะไรสักอย่าง ตัวละครจะยังคงหาจังหวะสร้างพื้นที่และเวลาสำหรับครุ่นคิดและตระเตรียมการได้เสมอ


การละเลียดกับความคิดแบบที่ได้เห็นใน “สดับลมขับขาน” และการสืบสาวเรื่องราวอย่างละเอียดพิสดารแบบที่เห็นใน “พินบอล, 1973” จึงได้กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ชวนตื่นระทึกใน “แกะรอย แกะดาว


ราวกับผู้เขียนต้องการยืนยันความสำคัญของพื้นที่เล็กๆ ที่เตรียมไว้สำหรับการได้ครุ่นคิดให้จงหนัก สำหรับการเตรียมตัวไม่ว่าจะเป็นข้าวของหรือเสบียงหรือหนังสือนิยายระหว่างเดินทาง


บาดแผลหรือการขาดไร้หรือความว่างเปล่าในตัวตนจึงได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาและวางไว้ให้เห็นถนัดใต้แสงของโคมไฟเสมอ ก่อนการบอกยืนยันตัดสินใจที่จะเดินทางจะเกิดขึ้นต่อมา


ไปตามหาแกะดาวกันเถอะค่ะ” เธอพึมพำบอก พริ้มตาหลับ “…เมื่อไหร่ที่เราเจอแกะ ทุกอย่างก็จะเข้ารูปเข้ารอยไปได้เอง”


แม้ในการนำเสนอเรื่องราวที่มีรากฐานยึดเกี่ยวลึกซึ้งใน “แกะรอย แกะดาว” มูราคามิ จะเคยกล่าวว่าอยากเขียนนวนิยายที่ทำให้ตนเองรู้สึกดีและมีพลังที่จะส่งไปถึงผู้อ่าน


ไม่ต้องการให้เป็นแค่การหยิบภาพพจน์ที่อยู่ภายในตัวตนมาแปรเปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนถ้อยคำตามอารมณ์ความรู้สึก


และอยากนำเสนอไอเดียและความตระหนักรู้ที่มีอยู่ภายในตัวตนมาใช้สร้างสรรเป็นถ้อยคำที่มีมิติครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม (นักเขียนนวนิยายเป็นอาชีพ)


แต่ตัวเอกอย่าง “ผม” ก็ยังต้องการเพื่อนร่วมเดินทางในทริปที่ดูเหมือนโดดเดี่ยวอยู่เบื้องหน้าคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำนี้


ถัดจากหญิงสาวที่มีเก้านิ้ว มาเป็นเด็กสาวคู่ฝาแฝด ก็มาเป็นหญิงสาวที่มีใบหูงดงามผู้เป็นทั้งนางแบบหูและนางทางโทรศัพท์ ที่มาพร้อมกับบทบาทของผู้ผลักดันให้กำลังใจที่มีสัมผัสพิเศษ เป็นคู่คิดและผู้ช่วยเหลือตัวเอกในการผจญภัยตามหาแกะอย่างที่ขาดไปก็จินตนาการไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร


หากจะเรียกนวนิยายเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของความเหงาโดดเดี่ยว ก็เป็นความเหงาโดยมีเพื่อนร่วมทางที่ช่วยกันประคับประคองอยู่ไม่ห่าง ให้ได้มีเวลาและพื้นที่ได้คิดคำนึงถึงความเหงาโดดเดี่ยวนั้นอย่างมีระยะจนพอใจ


ใน “แกะรอย แกะดาว” มูราคามิเขียนภาพการรับมือกับความแปลกแยกขัดแย้งด้วยการอดทนและการแบ่งปันตามแบบฉบับ ที่จะกลายเป็นลายเซ็นในผลงานนวนิยายเรื่องอื่นๆ ต่อไป


ในส่วนบทสรุป “แกะรอย แกะดาว” ก็ได้ปิดจบประเด็นสำคัญและปล่อยบางเรื่องราวให้ผู้อ่านจินตนาการกันต่อไป


แต่คุณค่าสำคัญของผลงานชิ้นนี้จากความรู้สึกแล้วคือการที่นิยายสามารถทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวจบลงแล้วจริงๆ และคุ้มค่ากับการอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ


การปล่อยให้บางเรื่องไร้คำตอบแต่ก็ยังส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวละครก็เรียกได้ว่าเป็นความพึงใจอย่างหนึ่ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการได้ติดตามตัวละครชุดเดียวกันมาตั้งแต่ “สดับลมขับขาน” และ “พินบอล, 1973” ที่ทำให้สนใจอยากรู้ความเป็นไปต่อมาอย่างช่วยไม่ได้


ก่อนที่จะได้รื่นรมย์กันอีกครั้งกับการผจญภัยแปลกประหลาดที่มูราคามิจะได้เล่าถึงในครั้งต่อไป