สดับลมขับขาน Haruki Murakami
ไม่มีงานเขียนที่ถือว่าสมบูรณ์แบบ
ถึงแม้จะหยิบยกคำกล่าวของนักประพันธ์นิรนามมาอ้างอิง เพื่อครุ่นคิดถึงมุมมองที่บอกว่า “ไม่มีงานเขียนใดที่ถือว่าสมบูรณ์แบบ” และเอ่ยต่อไปว่า
“แต่เมื่อถึงยามที่ต้องปั้นคำลงเป็นงานเขียน ความท้อแท้สิ้นหวังไหลท่วมตัวจนมิดหัวเสมอ ความสามารถของผมมีจำกัด เช่น หากผมจะเขียนเรื่องช้าง ผมก็คงเขียนเรื่องควาญช้างไม่ได้อยู่ดี เรื่องราวในทำนองนี้เกิดเป็นนิจศีล”
“ผม” ที่เป็นคนบอกเล่าเรื่องราวใน “สดับลมขับขาน” ก็ยังยืนยันว่าพร้อมแล้วที่จะบอกเล่าเรื่องราว แม้จะตระหนักดีถึงข้อจำกัดและจุดบกพร่องที่แฝงอยู่ในเรื่องราวหรือความสามารถของตัวเอง “ผม” ก็ยังจะเสนองานเขียนเล่มนี้ว่า“เป็นงานดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องสาธยายให้มากไปกว่านั้น” ในทำนองว่าได้มาจนสุดทางของความพยายามในตอนนั้นแล้ว ทั้งยังบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ต่อไปว่า
“บางคราว ก็มีความคิดผุดขึ้นในใจว่า หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เลยไกลไปข้างหน้า อาจจะอีกหลายปี นานนับทศวรรษนับจากวันนี้ ผมอาจจะได้ค้นพบคำตอบงดงามพอจะปลอมประโลมวิญญาณตัวเองได้ และหากวันนั้นมาถึง โขลงช้างก็คงจะเคลื่อนขบวนหวนกลับมายังทุ่งราบอีกครั้ง และผมจะได้ระบายภาพในใจด้วยถ้อยคำที่งดงามยิ่งกว่านี้”
และเริ่มเล่าเรื่องราวที่เป็นเหมือนภาพถ่ายทิวทัศน์ริมทะเลติดโปสการ์ด ชวนให้พลิกอ่านถ้อยคำสื่อสารความเปล่าเปลี่ยว หน้าตู้เพลงที่บรรเลงทำนองแจ๊สในบาร์สักแห่งออกมา
ละเลียดฤดูร้อนริมทะเล
ถึงอย่างนั้น ออกจะรวบรัดไปสักหน่อยหากถือว่าภาพพจน์ข้างต้นสามารถสื่อหลักใหญ่ใจความของนวนิยายเรื่องนี้ได้ครบถ้วน เพราะในเรื่องที่ “ผม” เล่า เราจะได้เห็นเพื่อนนิสัยออกจะเพี้ยนที่เรียกตัวเองว่า “มุสิก” ผู้ที่เฝ้าครุ่นคิดอย่างเอาเป็นเอาตายกับประเด็นสารพันพลางดื่มเบียร์เป็นคู่หูด้วยกันกับผู้เล่าเรื่อง กับเจ้าของบาร์ที่ทั้งสองเป็นขาประจำที่เป็นชายชาวจีนชื่อเสียงเรียงนามราวกับเป็นรหัสถึงอะไรสักอย่างว่า “เจ” อีกทั้งยังมีหญิงสาวที่มีเก้านิ้วและมีคู่แฝดที่เป็นคู่สนทนาอีกคนกับ “ผม” ตลอดเรื่อง
ฉากหลังนั้นจะเป็นฤดูร้อนที่เมืองต่างจังหวัดติดทะเล มีชายหาดและท่าเรือ มีตัวละครอื่นเยี่ยมหน้าโผล่มาตามจังหวะอย่างพอเหมาะ เรื่องราวหลากหลายที่ถูกเรียบเรียงออกมาบนหน้ากระดาษมีตั้งแต่อาการไม่พูดไม่จาตอนยังเด็ก ไปจนถึงการส่งผ่านอารยธรรมที่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันที่ถูกบอกเล่าอย่างมีจะหวะจะโคนเหมือนเสียงดนตรีตามสำเนียงที่คนเขียนคุ้นเคยนั่นเอง เป็นจังหวะดนตรีที่มีความเป็นปัจเจกและเต็มเปี่ยมด้วยมุมมองแบบยุคสมัย 60’s ที่การเป็นขบถต่อค่านิยมสังคมแบบกลุ่มและการเสาะแสวงหาความหมายท่ามกลางบรรยากาศว่างเปล่าและออกจะดูเหมือนไร้แก่นสารในชีวิต ยังคงอยู่ในกระแสความนึกคิดร่วมกันของผู้คน ที่ยังพอจะพูดได้ว่าค่านิยมเหล่านี้ยังคงสะท้อนส่งเสียงดังมาจนถึงจิตสำนึกผู้คนโดยเฉพาะวัยรุ่นในปัจจุบันอยู่บ้าง
นวนิยายเล่มเล็กเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลา 18 วัน ถ้อยคำเรียงร้อยเพื่อถ่ายทอดเป็นบรรยากาศที่เป็นเวทีให้เนื้อความของการครุ่นคิดสารพัดประเด็น ความไม่เท่าเทียม การก่อจลาจล ความไร้แก่นสารของชีวิตคนวัยยี่สิบ บทบาทของวรรณกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เลื่อนลอย และอื่นๆ ได้ถูกเล่าขาน (หรือ “ขับขาน”) ด้วยสำเนียงและทัศนคติวัยแสวงหาที่ดิ้นรนใช้ชีวิต ซึ่งยังไม่วายมักจะเจือไปด้วยอารมณ์ขันหน้าตายให้พอครื้นเครงและไม่เจ็บแค้นชอกช้ำ นวนิยายที่แบ่งเนื้อหาเป็นตอนๆ อย่างไม่เท่ากันโดยมีหมายเลขกำกับนั้นมีน้ำเสียงติดสนุกที่จะได้เล่า จึงชวนให้รู้สึกสนุกที่ได้รับฟังไปด้วยได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังมีบางส่วนบางตอนที่สื่อถึงความคิดคะนึงหาที่เต็มไปด้วยคำบรรยายเปี่ยมสัมผัสที่จับใจ จนอาจดูไร้เดียงสาอย่างแปลกที่แปลกทางจนไม่ทันตั้งตัว
“ดอกไม้ฤดูร้อนกลับมาบานไสวในใจของผม หลังเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว กลิ่นทะเล เสียงหวูดเรือแผ่วมาแต่ไกล ผิวเนื้อสาวนุ่มนวล กลิ่นมะนาวของครีมนวดผม สายลมอ่อนย่ำค่ำ ไออวลของสัมพันธ์ใกล้ชิด และความฝันฤดูร้อน…แต่ในเวลานี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เหมือนกระดาษลอกลายเลื่อนหลุดจากตำแหน่ง ให้เพียงเงาเลอะเลือนของฤดูร้อนที่ผันผ่านไปสิ้นแล้ว”

สดับลมขับขาน
ถึงแม้ “ผม” จะลงความเห็นไว้ในช่วงท้ายของนวนิยายว่า
“สรรพสิ่งเคลื่อนผ่าน ไม่มีใครกอดกุมรั้งสิ่งใดไว้แนบอกได้ตลอดไปนั่นเป็นวิถีที่เราต้องดำเนินชีวิต”
หากแต่ภาพพจน์ของโขลงช้างที่คงจะเคลื่อนขบวนหวนกลับมายังทุ่งราบอีกครั้งเมื่อคำตอบที่ลอยล่องในบทเพลงที่สายลมได้ขับขานออกมานั้น กลับชวนให้นึกถึงความมุ่งมั่นที่ทั้งค้นหาและเฝ้ารอ เป็นภาพของความปรารถนาและมุ่งหวังที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่ทอดยาว ซึ่งผู้อ่านจะได้เห็นการคลี่คลายต่อมาในงานเขียนของมูราคามินั่นเอง
