อีกครั้งเพื่อปักหลักที่โลกของความเป็นจริง

murakami haruki - dance dance dance


เริงระบำแดนสนธยา Dance Dance Dance – Haruki Murakami


อีกครั้งหนึ่งกับ “ผม”


เหมือนมีคำถามค้างคารอคอยคำตอบ หรือมีเงื่อนปมที่ถูกทิ้งไว้ซึ่งต้องแกะสางต่อให้ลุล่วง เมื่อการผจญภัยครั้งใหญ่ผ่านพ้นไปแล้วใน “แกะรอย แกะดาว” แต่บางสิ่งบางอย่างยังเรียกร้องให้หวนกลับคืนมาสู่สถานที่ในความทรงจำ เราจึงได้เห็น “โบคุ” หรือ “ผม” คนเดียวกันกับในนวนิยายเรื่อง “สดับลมขับขาน”, “พินบอล, 1973” และ “แกะรอย แกะดาว” ออกมาโลดแล่นบนหน้ากระดาษผ่านการเขียนของมูราคามิอีกครั้ง


ผมฝันบ่อยครั้งถึงโรงแรมโลมา

ในห้วงฝัน ผมไปอยู่ที่นั่น ตกอยู่กลางสภาวการณ์ต่อเนื่องอะไรบางอย่างบ่งชี้ยืนยันว่าผมสังกัดอยู่ในทำนองฝันนั้น

โรงแรมโลมาบิดเบี้ยวผิดรูป แคบจนแทบจะแตะผนังทั้งสองด้านได้ เหมือนสะพานคลุมด้วยซุ้มหลังคา สะพานทอยาวเหยียดไร้ที่สิ้นสุดไปในห้วงเวลา ผมอยู่ที่นั่น ยืนอยู่กลางเส้นทาง ใครอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย…ร่ำไห้เพื่อผม

โรงแรมโลมาโอบรัดผมไว้ ผมรู้สึกถึงชีพจรเต้นตุบ ไออุ่นแผ่ซ่านในความฝัน ผมเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม


สิ่งที่ยังค้างคาอยู่นับจาก “แกะรอย แกะดาว” แล้วอาจเป็นเรื่องของหญิงสาวที่หายตัวไป บวกกับเรื่องที่ว่าตัวเอกหรือ “ผม” จะทำอย่างไรเมื่อเขาได้ตัดขาดจากสังกัดเครือข่ายเดิมเสียหมดสิ้น จนดูเหมือนไร้หลักแหล่งโดยสิ้นเชิงไปแล้ว


จุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน Dance Dance Dance หรือ “เริงระบำแดนสนธยา” จึงมีความเกี่ยวข้องกับการตามหาและการเชื่อมต่ออีกครั้ง ตามทำนองผลงานของมูราคามิชิ้นที่แล้วมา


นอกจากนั้น เรายังอาจสัมผัสได้ถึงความผูกพันกับเรื่องราวและตัวละครที่ผลักดันให้เกิดเรื่องราวการตามหาครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นได้ แม้ว่าในเบื้องหน้านั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องราวตามทำนอง ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้น ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป หากดูอย่างผิวเผินจากน้ำเสียงที่บอกเล่าก็ตาม


เวลาของการยอมจำนน


ในนวนิยายที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1988 เล่มนี้ นอกจากจะสานต่อเรื่องราวความเป็นไปของตัวเอกจากเรื่อง “แกะรอย แกะดาว” แล้ว ก็ยังได้สานต่อการวิพาษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมจากนวนิยาย “ไตรภาคแห่งมุสิก” มาอีกด้วย จากที่เราได้เห็นบรรยากาศการวิพากษ์ดังกล่าวมาบ้างแล้วใน “สดับลมขับขาน


หากแต่นอกจากน้ำเสียงแบบขบถต่อมาตรฐานสังคมที่ตกทอดมาจากยุค 1960 แล้ว “เริงระบำแดนสนธยา Dance Dance Dance” ก็ยังแสดงออกถึงบางสิ่งที่ต่างไปจากเดิมออกมาด้วย นั่นคือน้ำเสียงของการยอมรับความพ่ายแพ้จำยอม ความไร้ความหมายของการต่อต้าน และการดำรงอยู่ของระบบทุนนิยมที่ปฏิเสธไม่ได้


และเหมือนกับต้องการให้เป็นหมุดหมายของการเติบโตหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ตัว “ผม” ก็ต้องมีการหวนคิดถึงช่วงเวลาเก่าก่อนที่ผ่านเลยไปแล้ว เวลาของวัยต้นยี่สิบที่ไม่มีทางย้อนกลับมาได้อีก


ช่วงเวลานั้น ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ในปี 1969 โลกรอบข้างยังไร้เดียงสา อยากแสดงตัวตนให้ประจักษ์ ก็เพียงแค่หยิบก้อนหินมาขว้างปาตำรวจปราบจลาจล ในสังคมเชิงซ้อนในปัจจุบัน ใครอยู่ในสถานะที่จะหยิบก้อนหินมาขว้าง? ใครจะกระโจนออกไปเป็นหน่วยกล้าตาย ไปคว้าแก๊สน้ำตาขว้างคืนกลับใส่ตำรวจ? ไม่ไหวนะ, โลกเป็นอย่างที่มันเป็น สรรพสิ่งหมกเม็ด ผู้เชื่อมไปหาโยงใยเครือข่าย เงินลงทุนมหาศาลนอกวงใยแมงมุมผืนนี้ก็ยังมีเครือข่ายโยงใยอีกผืนกางดักรออยู่ ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ไม่มีใครกระดิกตัวไปไหนพ้น… เออ, เอ็งเก่ง ลองขว้างก้อนหินซี ไม่ช้าไม่นานหินก้อนนั้นก็จะบินกลับมาเคาะหัวเอ็ง


มุมมองและแนวคิดเบื้องหลังเช่นนี้ทำให้การผจญภัยของ “ผม” อยู่ภายใต้เงาของการจำนนต่อระบบที่ดำรงอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้


การเดินทางกลับไปยังโรงแรมโลมาแล้วเริ่ม “เริงระบำ” ตามท่วงทำนองลึกลับบางอย่างของ “ผม” จึงเป็นการหวนกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยดำรงอยู่ในอดีต เพียงแต่ในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนรูปโฉมไปจนหมดสิ้นแล้วด้วยอิทธิพลของทุนนิยม จนทำให้สงสัยอย่างยิ่งว่าจะเจอสิ่งที่อยากค้นหาได้จริงหรือไม่ในสภาพการณ์เช่นนี้


ข้อนี้เองที่เป็นจุดแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากการเดินทางผจญภัยที่ผ่านมาใน “แกะรอย แกะดาว” ที่เกิดขึ้นโดยการบุกตะลุยไปข้างหน้าภายใต้การอำนวยกึ่งบังคับของระบบ เพราะว่าในหนนี้เป็นการเดินทางโดยมีความปรารถนาภายในตัวตนเป็นแรงผลักดันหลัก ไล่ตามเสียงเรียกที่ไม่อาจรู้ที่มาที่ไป และไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ปลายทางเช่นไร


แม้จะอยู่ภายใต้การยอมจำนนและห้วงเวลาที่ล่วงเลย ถึงอย่างนั้น


ผมจะต้องไปพบกับเธอที่นั่น เธอผู้ชี้ทิศนำทางผมไปยังโรงแรมโลมา เธอผู้เคยเป็นนางทางโทรศัพท์ชั้นสูงในโลกมืดโลกราตรี เพราะตอนนี้ กีกิต้องการให้ผมทำเช่นนั้น (ในสภาวการณ์ที่แปลกสิ้นดี ผมทราบชื่อของเธอในภายหลัง เพื่ออำนวยความสะดวก และแข็งขืนต่อกรอบจารีตปฏิบัติ ผมใคร่จะบอกชื่อเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ ได้โปรดให้อภัย ชื่อของเธอคือกีกิ) ใช่แล้ว กีกิเป็นผู้ถือกุญแจไขปริศนา ผมจะต้องเรียกเธอกลับมาหา กลับมาร่วมชีวิตที่เธอเดินจากไป และไม่ย้อนคืนมา เป็นไปได้หรือ? ใครจะทราบได้ ผมมีแต่ต้องลงมือ นับแต่นี้ไป วงจรชีวิตใหม่จะเริ่มต้นแล้ว


แรงผลักดันที่มาจากภายในตัวตนและเป้าหมายที่เป็นผู้ที่เคยจากกันไปในเวลาที่ล่วงเลย ทั้งสองเป็นสิ่งที่จะนำพาให้ตัว “ผม” เคลื่อนจากอาการไร้รากไร้หลักแหล่ง หรือให้ชี้ชัดกว่านั้น (ตามอย่างมนุษย์แกะที่ถึงที่สุดแล้วก็ตามมาปรากฏตัวในเรื่องด้วย) คือเคลื่อนจากโลกฝั่งโน้นมายังโลกฝั่งปัจจุบัน โลกที่ตัว “ผม” รู้สึกถึงความจำนนต่อระบบ รวมถึงช่วงวัย ผู้คน และความทรงจำที่ผ่านเลยนั่นเอง


ผมเก็บคำพูดของเขาไปคิด “อาจเป็นอย่างนั้นก็เป็นได้ เหมือนอย่างที่คุณบอก บางอย่างสูญหายไป ผมหลงทาง ผมสับสน ผมไม่ได้ทิ้งสมอปักหลัก ผูกติดกับที่ไหน มีแต่ที่นี่เท่านั้นเองที่ผมรู้สึกว่าผมสังกัดร่วมเป็นส่วนหนึ่ง” เสียงของผมขาดหาย ผมก้มลงมองมือของตนเองในแสงเรื่อจากเปลวเทียน


โลกฝั่งโน้นที่มีโรงแรมโลมาหลังเก่าซ่อนอยู่ในโรงแรมโลมาแห่งใหม่เป็นสัญลักษณ์


โรงแรมโลมาหลังเก่าที่เหลืออยู่ในโลกฝั่งโน้นเท่านั้นเป็นสิ่งสื่อแทนถึงสิ่งที่ “ผม” เคยมีแล้วล่วงเลยหายลับไปตามกาลเวลาหรือจังหวะชีวิตที่ดำเนินไป


โลกฝั่งโน้นที่แทบจะดำรงตัวตนอยู่ต่อไปอีกไม่ได้เว้นแต่ในช่องว่างของโลกฝั่งปัจจุบัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า “แทรกอยู่ระหว่างสรรพสิ่ง” เพียงอย่างเดียว โลกฝั่งโน้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่ตัว “ผม” จะลงหลักปักสมอให้ตนเองสังกัดร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ มนุษย์แกะจึงมีคำแนะนำเพียงให้


เริงระบำ…” มนุษย์แกะตอบ “เริงระบำตราบดนตรียังบรรเลงท่านจำต้องเริงระบำเริงระบำเริงระบำอย่าได้หยุดอย่าได้เสียเวลาครุ่นคิดหาเหตุผลเพราะไม่มีเหตุผลอะไรอยู่แล้วเท้าหยุดเมื่อใดเราก็ชะงักท่านก็ติดขัดการเชื่อมต่อของท่านจะหายไปไม่เหลือหายไปชั่วนิรันดร์หากเป็นเช่นนั้นท่านก็จะมีชีวิตอยู่ได้เฉพาะโลกนี้ค่อยๆถูกลากตัวมายังโลกนี้ดังนั้นห้ามหยุดเท้าอย่าได้คิดจะโง่เง่าสักแค่ไหนอย่าได้ใส่ใจวาดเท้าก้าวตามสเต็ปเท้าเบานิ่มนวลผ่อนคลายทุกอย่างที่ขมวดตึงเขม็งทุ่มทุกอย่างที่มีลงไปในปลายเท้าเรารู้ว่าท่านเหนื่อยทั้งเหนื่อยทั้งกลัวเกิดขึ้นได้ต่อทุกคนวาดเท้าสุดเหวี่ยงอย่าได้ปล่อยให้ปลายเท้าชะงัก”


“การเริงระบำ” ที่เป็นที่มาของชื่อเรื่องจึงเป็นการเริงระบำเพื่อไม่ให้การเชื่อมต่อสูญหายไป


เพราะตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ของการเชื่อมต่อ การตามหาก็ยังคงเป็นไปได้


และในทางกลับกัน ความปรารถนาที่จะตามหากีกิเองก็เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ “ผม” สามารถเชื่อมต่อกับโลกในปัจจุบันและผู้คนรอบข้างอื่นๆ อีกมากท้ังพนักงานต้อนรับของโรงแรมผู้สวมแว่น ยูมิโยชิ, เด็กสาวที่ชอบฟังเพลงร็อค ยูกิ, เพื่อนเก่าที่กลายเป็นดาราดัง โงะทันดะ และอื่นๆ ซึ่งตัวนิยายเองก็นำพาเราไปพบกับความจริงที่ว่าหลายตัวละครแม้จะอยู่ในโลกฝั่งปัจจุบัน แต่ก็ยังเชื่อมต่อหรือเคยมีบางส่วนเชื่อมต่อกับโลกฝั่งโน้น และจุดนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายในเรื่อง


ปักหลักอยู่ที่โลกของความเป็นจริงด้วยการยอมรับ


ปลายทางของการตามหาและการเชื่อมต่อตามที่ “เริงระบำแดนสนธยา” ได้บอกเล่าให้เราฟังนั้นคือการเชื่อมโยงกับโลกอย่างยอมรับในความเป็นจริง


จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่มาจากเสียงเรียกของห้วงเวลาและช่วงวัยผ่านเลยที่เคยรู้จักนั้น ในที่สุดก็นำไปสู่การเปิดเผยความจริงที่ว่า เสียงเรียกนั้นดังมาจากภายในของตัว “ผม” เอง


ทำให้พอจะมองในแง่หนึ่งได้ว่า การอยู่ในโลกของระบบทุนนิยมที่เป็นเครือข่ายโยงใยซ้อนเครือข่ายโยงใยนั้นส่งผลให้เกิดแรงสะเทือนที่มาจากภายในตัวตนของผู้ที่จำนนไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้


เสียงเพรียกที่แว่วดังให้ได้ยินนั้นจึงเป็นสัญญาณของสิ่งที่เหลือไปจากความจำนน ที่ในบางครั้งอาจเป็นเสียงของการร่ำไห้ที่ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ ราวกับเป็นเสียงของผู้คนที่เคยรู้จักพบเจอและล่วงเลยผ่านไปไม่ได้พบพานกันอีกแล้ว


เราร่ำไห้สำหรับสรรพสิ่งที่คุณไม่อาจเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาได้” กีกิกระซิบบอก เชื่องช้า เน้นทีละคำ “…เราหลั่งน้ำตาสำหรับน้ำตาที่คุณไม่ปล่อยให้ไหลรินออกมา เราคร่ำครวญสำหรับความสูญเสียทุกอย่างที่คุณไม่เคยปล่อยให้ตนเองเศร้าเสียใจ”


สิ่งที่รออยู่เมื่อเปิดประตูเข้าไปยังโลกฝั่งโน้นคือเสียงลึกลับของตัวตนปริศนาในเงามืด แต่แม้ในเงามืดนั้นก็ยังคงมีความผ่อนคลายบางประการที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยอยู่ เหมือนมีมิตรภาพแต่หนหลังที่เคยคุ้น ถึงจะยากต่อการทำใจให้ไม่หวาดกลัวในเบื้องแรกก็ตาม


ในแง่หนึ่งนั้นถือได้ว่า “เริงระบำแดนสนธยา” เป็นความพยายามทำความเข้าใจอีกฟากฝั่งหนึ่งโดยให้อรรถบรรยายการเข้าไปสัมผัสโดยตรง ให้เห็นภาพผ่านการเปรียบเปรยที่กระจ่างชัดที่สุดในห้วงของนิยายไตรภาค นอกจากนั้นก็ยังทำการบรรยายที่ว่าโดยมีสติระมัดระวังไม่ให้เผลอไผลไปผูกติดอยู่กับโลกฝั่งโน้นจนถอยกลับออกมาไม่ได้


และก็เช่นเดียวกับการก้าวเข้าไปในความมืด ไม่มีใครรู้ว่าในความมืดมีสิ่งใดอยู่บ้าง และในความมืดของการเขียนเรื่องราวเพื่อตัวเองคราวนี้ มูราคามิก็ได้แสดงให้เห็นความลึกลับและความบันเทิงของการผจญภัยในแดนสนธยา หรืออีกนัยหนึ่งคือความหฤหรรษ์ของการเขียนเรื่องแต่งอีกครั้งหนึ่ง