พินบอล, 1973 – Haruki Murakami
เรื่องเล่าจากแดนไกล
ถัดจากการรำพันเรื่องการไร้ความสามารถในการเขียนและความไม่สมบูรณ์แบบของวรรณกรรมในตอนเปิดเรื่องของนวนิยายเรื่องก่อนหน้าอย่าง “สดับลมขับขาน” นวนิยายเรื่อง “พินบอล, 1973” ก็เลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการวางตัวเป็นผู้ฟัง ผู้รับฟัง ผู้แสวงหาเรื่องราวจากคำบอกเล่าของคนอื่น ทำตัวประหนึ่งเป็นครีบเตะรอสัญญาณรับลูกบอลที่ดีดออกมาจากท่อ
“ประหนึ่งเป็นการทิ้งหินลงในบ่อน้ำแห้ง เรื่องเล่าหลากรูปหลายแบบหลั่งไหลรินเทมาหาผม เมื่อเล่าจบสิ้นแล้ว ทุกคนลาจากด้วยความเอิบอิ่มสุขกายสบายใจ บางคนเล่าเรื่องด้วยเสียงเยือกเย็นอิ่มสุข บ้างแค้นเคืองกราดเกรี้ยว บางคนเล่าเรื่องได้สนุก เรียบเรียงชวนฟังยิ่ง บางเรื่องก็พิลึกพิลั่นจนผมไม่รู้เหนือรู้ใต้ จับความไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ บางเรื่องน่าเบื่อหน่าย บางเรื่องทำให้ก้อนสะอื้นติดคอ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลกึ่งไร้สาระ แม้จะเป็นเช่นนั้น ผมยืนหยัดปักหลักมั่น รอรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ”
ผู้อ่านจึงมองเห็นภาพร่างของการคลี่คลายปมผ่านการรับฟังเรื่องเล่า ถึงขั้นพอจะเรียกได้ว่าเป็นการปลอบประโลมด้วยการเล่าขานเรื่องราวที่นวนิยายเรื่องนี้จะนำพาไปสู่ เมื่อการเล่าถึงประสบการณ์ของผู้รับฟังที่ดีได้พา “ผม” เจ้าเก่าจากเรื่องราวในเล่มที่แล้วกลับไปสู่การหวนคิดถึงความรักครั้งเก่ากับหญิงสาวที่ชื่อ “นาโอโกะ” ที่เป็นผู้บอกเล่าให้ “ผม” ฟังถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง สถานีรถไฟในเมืองแห่งนั้น และบ่อน้ำในบ้านไร่ชื้นฝน เรื่องราวเล่าขานออกมาเป็นฉากทิวทัศน์ชั่วครู่ จากหนึ่งที่ไปอีกหนึ่งที่ ขีดเขียนภาพร่างให้ปรากฏวูบวาบขึ้นในใจ พร้อมกันนั้นก็บอกกับตนเองไปด้วยว่า
“การโดยสารรถไฟขากลับ ผมพร่ำบอกตนเองว่า เรื่องราวทั้งหมดจบไปแล้ว ไม่เหลือภาระติดค้างในอกให้หนักใจ ลืมเรื่องนี้ไปเสีย ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ผมก็ไม่อาจสลัดเรื่องนั้นให้พ้นไปได้ ไม่อาจลืมสถานีรถไฟ และไม่มีทางลืมว่าผมรักนาโอโกะ ไม่อาจลืมว่าเธอเสียชีวิตไปแล้ว เพราะถึงอย่างไร ผมก็ไม่เคยยุติเรื่องราวใดให้สิ้นสุดเด็ดขาดได้สักเรื่อง”
ห่างกันกว่าเจ็ดร้อยกิโลเมตร
เพราะอย่างนั้น เมื่อ”พินบอล, 1973” เริ่มเรื่องเข้าจริงๆ ผู้อ่านจึงพบว่านิยายบอกเล่าเรื่องของ “ผม” พร้อมกับที่เล่าถึง “มุสิก” (ซึ่งก็เป็นเจ้าเก่าเจ้าเดิมเช่นเดียวกัน) ไปด้วย ไม่ใช่เป็นการบอกเล่าแบบสลับซ้ายขวา แต่ทิ้งระยะห่างพอประมาณระหว่างบทโดยคงความต่อเนื่องให้รับรู้ถึงความเป็นไป ตัวละครคุ้นหน้ายังคงทยอยมาปรากฏตัวอย่างเช่น “เจ” บาร์เท็นเดอร์ชาวจีนเจ้าของบาร์ชั้นใต้ดินในเมืองบ้านเกิดของสองตัวเอก พร้อมกับตัวละครหน้าใหม่ที่แวะเวียนเข้ามา อย่างเด็กสาวคู่แฝดที่มาอาศัยอยู่กับ “ผม”, หุ้นส่วนและเพื่อนร่วมงานสาวออฟฟิศ, หญิงสาวเจ้าของเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า และผู้คนที่โผล่เข้ามาและหายหน้าไปในกาลเวลาที่ไหล่ผ่านตัว “ผม” ที่ได้เปิดกิจการศูนย์รับแปลภาษาร่วมกับหุ้นส่วน ใช้ชีวิตล่วงเลยไป
“นับเดือน นานหลายปี ผมนั่งอยู่ที่นั่น โดดเดี่ยวเดียวดาย ในบ่อน้ำลึกหยั่งก้นไม่ถึง น้ำอุ่น กรองแสงเรื่อนวล ความเงียบ… เงียบงัน ความเงียบ…”
ส่วน “มุสิก” นั้นเผชิญหน้ากับความขัดแย้งในตัวตนอยู่ที่เมืองท่าบ้านเกิด จมจ่อมอยู่ในความรู้สึกราวกับว่าร่างกำลังจะฉีกขาดเป็นสองส่วน รู้สึกถึงการหยุดชะงักอยู่กับที่ที่จะทำให้ตัวตนเน่าเปื่อยสูญสลาย
“เขามาถึงจุดที่คิดว่าจะทานทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปอาบน้ำฝักบัว และแทบจะหลับตาโกนหนวด เขาเช็ดตัวจนแห้ง ดื่มน้ำส้มจากตู้เย็น สวมชุดนอนสะอาด คลานกลับขึ้นเตียง ลงความเห็นกับตัวเองว่า เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นแล้ว”

ยานอวกาศ สามครีบเตะ – พินบอล, 1973
ต่างคนต่างรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว ทางออกหรือคำตอบที่ต่างดิ้นรนค้นหาก็ได้แยกออกเป็นสองแบบ “ผม” หันไปสู่การค้นหาตู้พินบอล “ยานอวกาศ” ส่วน “มุสิก” เลือกเดินทางออกจากเมืองบ้านเกิด ทิ้งทั้งอดีตและหญิงสาวไว้ข้างหลังโดยตั้งใจว่าจะไม่กลับมาอีก ผู้อ่านได้เห็นการกระเสือกกระสนภายในเพื่อไขว่ขว้าสิ่งที่เป็นเหมือนคำตอบที่จะไขขานเป็นหนทางปลอบประโลมความขัดแย้งและความว่างเปล่าที่เป็นหลุมลึกในจิตใจของตัวละครทั้งสอง “ผม” พูดคุยกับตู้พินบอล “ยานอวกาศ” สามครีบเตะราวกับได้พูดกับคู่รักที่ไม่ได้พบเจอกันนานปีจะกระทำต่อกัน บรรยากาศยิ่งแปลกประหลาดเมื่อตู้พินบอลเองก็ “พูด” สนทนาพาทีกับเขาราวกับเป็นหญิงสาวที่เคยคุ้นนั้นก็เป็นฉากโดดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้ อีกทั้งบทบรรยายก่อนลาจากของ “ทั้งคู่” นั้นก็สื่อถึงความอาวรณ์ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูอย่างไรก็ผิดเพี้ยนเหนือกว่าความเป็นจริง
“เรานิ่งงันไปอีกครั้ง สัมพันธ์ที่เราเคยสานร่วมกัน เป็นแต่เพียงเศษเสี้ยวของเวลาที่ตายดับไปแล้ว แม้จะเป็นเช่นนั้น ประกายเรื่อเรืองของความทรงจำก็ยังอาบหัวใจของผมให้อบอุ่น หากเมื่อใดที่ความตายมาพรากชีวิตของผม ผมก็จะเดินไปบนเส้นทางเรื่อเรืองชั่วขณะ ก่อนเส้นทางจะสะบั้นขาดหายไปในความว่างเปล่ามืดมิด”
ในบทสรุป “พินบอล, 1973” ก็ได้ฉายให้เห็นการเดินทางจากไปของคู่แฝด ทุกผู้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของ “ผม” ก็พากันผ่านล่วงเลยไปอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งร่องรอยเป็นความคิดถึงคะนึงหาและความโดดเดี่ยวว่างเปล่าที่ตั้งอยู่ให้กอดกุมอย่างค้างคา อาจเพื่อแสวงหาสัญญาณบำบัดปลอบประโลม ก่อนที่มูราคามิจะเปิดฉากเล่าขานถึงการผจญภัยเสาะแสวงหาครั้งต่อไป
